จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2562

ปลูกกล้วยน้ำว้ารวยได้…“พันธุ์ปากช่อง 50” ของ อิทธิกร จันทร์น้อย ที่ อ.ปากช่อง




ปลูกกล้วยน้ำว้ารวยได้...“พันธุ์ปากช่อง 50” ของ อิทธิกร จันทร์น้อย ที่ อ.ปากช่อง

   จากกระแสความนิยมบริโภคกล้วย เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ในรอบ 2 ปีที่ผ่าน ทำให้ราคากล้วยสูงขึ้น ความต้องการของตลาดสูง ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า ฯลฯ ขาดตลาด ผลผลิตออกไม่ทัน ขายกันจนรวย ด้วยกระแสที่มาแรง แซงทุกพืชเศรษฐกิจในเวลานี้…อิทธิกร จันทรน้อย(กุล) หนุ่มเจ้าของสวนชาวกลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ดีกรีปริญญาตรี เอกเกษตรกลวิธาร จากรั้วมหาวิยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตบางพระ ไม่รอช้า คว้าโอกาส ถือคติลงมือทำก่อน ได้ก่อน เบิกพื้นที่กว่า 30 ไร่ ปลูกกล้วยน้ำว้า สายพันธุ์ปากช่อง 50 บนที่ราบสูง แห่งขุนเขา มวกเหล็ก สระบุรี
กล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 กำลังให้ผลผลิต
ภาพรวมของสวน…ปลูกกล้วยรายได้ดี  คุณกุล เล่าถึงการทำสวนกล้วยน้ำว้าให้ฟังว่า สวนกล้วยแห่งนี้ปลูกกล้วยน้ำว้า สายพันธุ์ปากช่อง 50 ทั้งหมด 30 ไร่ๆละ100 ต้น ไว้หน่อประมาณ 2หน่อต่อหลุม รวมประมาณ 6,000 กว่าต้น ในปีแรก ปีที่ 2 จะไว้หน่อหลุมละ 4-5  ต้นรอบทรงพุ่ม จะได้ต้นสมบูรณ์ 400 หน่อต่อไร่ รวมทั้งหมด กว่า 12,000 ต้น ส่วนหน่อที่เหลือจะขุดขายหน้าสวน หน่อละ 50 บาท ถ้าจัดส่งหน่อละ 60 บาท และไม่รวมค่าขนส่ง หน่อส่วนที่เกินต้องขุดออก เพื่อให้หน่อที่เลือกไว้สมบูรณ์ ไม่แย่งอาหารกัน จะทำให้ได้ต้นกล้วยที่สวย อุดมสมบูรณ์ แข็งแรง พร้อมที่จะออกปลีกล้วยที่ใหญ่และให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ ผลใหญ่ เครือดกได้กล้วยเกรด A หลายหวีต่อเครือ
     “กล้วยน้ำว้าปากช่อง50 เป็นกล้วยที่มีลำต้นใหญ่ แข็งแรง ให้จำนวนหวีเยอะ ถ้าเลี้ยงให้สมบูรณ์ดี จะให้หวีเกรด A มาก 10-14 หวี แต่ต้องเลี้ยงให้ถึงปุ๋ยถึงน้ำ ในสวนผม รอบแรกจะได้ ประมาณ 8-12 หวี ซึ่งถือว่าดีทีเดียวในสภาพที่กระทบแล้งมากๆ ในปีที่ผ่านมา รอบที่ 2 เราจะไว้หน่อหลุมละ 4-5 หน่อ ซึ่งจะเก็บหน่อที่สมบูรณ์ที่สุด และอยู่ด้านนอกกอ รอบๆหลุม หน่อที่เป็นส่วนเกิน ทั้งในกอและนอกกอจะขุดออกมาขายให้ลูกค้าที่สนใจ ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ในสวนเราจะตัดแต่งใบและขุดหน่อไปพร้อมๆกัน ประมาณเดือนละครั้ง หน่อมีเท่าไหร่ก็ไม่พอขาย ลูกค้าสนใจสั่งจองล่วงหน้ากันมากมาย”     “ส่วนผลกล้วย จะตัดขาย 2 แบบ คือแบบเหมาเครือ ราคาเครือละ 200 บาท และแบบตัดเป็นหวี ขายส่งหวีละ 25-30 บาท มีลูกค้ามารับประจำถึงสวน ส่วนกล้วยเกรดรองลงมา ตัดขายปลีกแผงหน้าบ้าน หวีละ 35-40 บาท ขายหมดทุกวัน ส่วนปลีกล้วยน้ำว้า หลังจากตัดออกจากเครือก็ขายได้ ส่งปลีละ 5-10 บาท กล้วย 1 ต้นขายได้ทุกส่วน ตลาดมีความต้องการสูง ผมมีพื้นที่ปลูก 30 ไร่ ในรอบแรกได้กล้วยประมาณ 5,000 เครือ ขายส่งเครือละ 200 บาท นับว่าเป็นรายได้ที่ดีทีเดียว” คุณกุล เล่าถึงผลประกอบการจากการปลูกกล้วยให้ฟัง ก่อนที่จะนำชมสวนและตะลุยดงกล้วย

ทำมาหลายอาชีพ จนมาเป็นเจ้าของสวนกล้วย

เจ้าของสวนย้อนอดีตให้ฟังว่า ก่อนที่จะมาทำสวนกล้วยน้ำว้า ทำอาชีพอื่นมามากมายหลังจากเรียนจบ ก็เข้าทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในตำแหน่งนักวิชาการเคมีเกษตร ทำงานประมาณ  8 ปี ตอนนั้นมีรายได้ เดือนละเกือบ 1 แสนบาท แต่ด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดอยู่กับเกษตรกร ที่ตนเองออกไปส่งเสริม เห็นความสำเร็จ เห็นรายได้ เห็นคนทำการเกษตรแล้วรวย จึงอยากรวยบ้าง อีกทั้งอยากจะมีอาชีพอิสระ สามารถควบคุมเวลาได้ด้วยตัวเอง อยู่กับบ้านใกล้ชิดครอบครัว จึงตัดสินใจลาออกจากงาน หันมาทำอาชีพเกษตรด้วยตัวเองอย่างเต็มตัว
  งานแรกตั้งแต่ออกจากงาน ลงทุนปลูกมันสำปะหลัง 50 ใช้การจัดการได้นวัตกรรม ปีนั้นราคามันสำปะหลังดีมาก ตันละ 2,500 บาท 50 ไร่ ทำกำไรกว่า 400,000 บาท ปีที่ 2 ขยายพื้นที่ปลูกเช่าที่เพิ่มเป็น 200 ไร่ เจอภัยแล้ง เพลี้ยระบาดหนัก พื้นที่เยอะเกินกำลัง ดูแลไม่ทั่วถึง ขาดทุนไปเกือบล้านบาท
   ต่อมาเลิกปลูกมันสำปะหลัง แต่ยังไม่ถอยสู้ต่อด้วยการทำไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 200 ไร่ ใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน ทั้งไถ ปลูก เอาหญ้า ฉีดยา ใช้เครื่องจักรทั้งหมด ทำงานคนเดียวก็สามารถทำได้ ในปีแรกประสบความสำเร็จ ข้าวโพดราคาดีมาก กก.ละ 10 บาท ได้กำไรหลายแสน จึงลงทุนต่ออีก 2-3 ปี จนกระทั่งปี 2555 ปรากฏว่าเจอปัญหาภัยแล้งอีก คราวนี้แล้งหนักกว่าเดิม ข้าวโพดไม่โต ไม่ติดฝัก ขาดทุนหนักถึงขั้นล้มละลาย แต่ก็ไม่ท้อขอสู้ต่ออีกสักยก กลับมาปลูกมันสำปะหลังด้วยระบบน้ำหยด ทั้งหมด 30ไร่ ได้ผลผลิตไร่ละกว่า 10 ตัน ดูเหมือนผลผลิตจะดี แต่พอหักลบกลบหนี้แล้ว ไม่คุ้มทุน เพราะปลูกมันสำปะหลังระบบน้ำหยด ต้นทุนสูงมาก จากนั้นจึงมองหาอาชีพใหม่ ใช้เวลาศึกษาข้อมูลให้มั่นใจแล้วสุดท้าย ได้คำตอบ ที่กล้วยน้ำว้า ปากช่อง50
"ผมทำมาหลายอาชีพ แต่ปลูกกล้วยดีกว่าครับ"

ศึกษาเรื่องกล้วย…ลงตัวที่พันธุ์ปากช่อง 50

“ผมศึกษาเรื่องกล้วยมานานพอสมควร เนื่องจากอาชีพเกษตรอื่นๆทำให้ผมล้มไม่เป็นท่ามาแล้ว ผมมองว่ากล้วยน้ำว้า พันธุ์ปากช่อง 50 ปลูกครั้งเดียว อยู่ได้ 4-5 ปี กล้วยเป็นพืชเศรษฐกิจที่อยู่คู่ประเพณีวัฒนธรรม ของไทย มีงานมีเทศกาลทั้งปี และจะมีกล้วยเป็นส่วนประกอบในการทำอาหารในงานบุญด้วย และเมื่อปี 2554 มีน้ำท่วมใหญ่ กล้วยตามเรือกสวน ไร่นาตายหมด ทำให้กล้วยราคาสูงมาก ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ต่อมาก็เป็นกระแสคนรักสุขภาพ กล้วยเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า ราคาดีหมด แถมยังมีความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีกด้วย ผมจึงตัดสินใจลงทุนครั้งใหม่ด้วยกล้วยน้ำว้า ปากช่อง 50 บนพื้นที่ 30ไร่” คุณกุล เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำสวนกล้วย
    คุณกุล เล่าอีกว่า ทำไมจึงเลือกปลูกกล้วยน้ำว้า พันธุ์ปากช่อง 50 (จากผลงานวิจัยพัฒนาของ ม.เกษตรฯ) เพราะกล้วยน้ำว้าสายพันธุ์นี้ มีข้อดีและจุดเด่นหลายอย่าง ลำต้นสูงใบใหญ่ หาอาหารเก่ง ทนแล้ง ต้นที่ไม่สมบูรณ์ก็สามารถให้หวีได้ดีกว่าสายพันธุ์อื่น หวีใหญ่ ผลใหญ่ ให้ผลต่อหวีมากถึงหวีละ 16-18 ผล  เครือใหญ่ ยาวให้ผลผลิตสูง ต้นที่เลี้ยงให้สมบูรณ์ดี ให้หวีเยอะเครือละ 12-14 หวี แต่ถ้าต้องการหวีที่สมบูรณ์สม่ำเสมอ ควรเหลือไว้ก่อนตัดปลี 8-12 หวีต่อเครือ ถ้าไว้หวีมากเกินไปผลจะเล็กลง ใบใหญ่ หนา เขียวเข้ม สังเคราะห์แสงได้ดี ปลูกครั้งเดียว สามารถไว้หน่อได้นานถึง 5 ปี 1 กอไว้ต้นที่สมบูรณ์ 5 ต้นต่อปี
เผยเทคนิคการปลูกตามแบบฉบับของสวน   สำหรับเทคนิคการปลูกกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 แบบฉบับสวน อินทรยา เจ้าของสวนแนะนำว่า 1 ไร่ ควรปลูก 100 ต้น หรือระยะห่างระหว่างต้น X  ระหว่างแถว 4X 4 เมตร เพราะต้นกล้วยปากช่อง 50 สมบูรณ์เต็มที่ สูงได้ถึง 4-5 เมตร ขุดหลุมขนาด 50X50 ซม. รองก้นหลุมด้วยขี้หมู ถ้าได้กากขี้หมูจากการหมักไบโอแก๊สแล้วยิ่งดี ใส่หลุมละ 1 กก. แล้วคลุกเคล้ากับหน้าดินปากหลุม อย่างละเท่าๆกัน ในกรณีไม่มีขี้หมูแนะนำให้ใช้ ขี้ไก่แกลบ หรือขี้ไก่อัดเม็ด ในอัตรา 1 กก.ต่อหลุมเช่นกัน ไม่แนะนำให้ใช้ขี้วัว เพราะขี้วัวเป็นแหล่งกำเนิดหนอนกอ ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของต้นกล้วย จากนั้นก็นำหน่อกล้วยที่เตรียมไว้ลงปลูก ฝังลึกเท่ากับคอหน่อ ที่ขุดมาจากกอ ไม่ควรฝังลึกมากจะทำให้ออกหน่อใหม่ช้าและอาจเน่าตายได้
หน่อกล้วยน้ำว้าปากช่อง 50 พร้อมขาย
การให้น้ำและปุ๋ย ในสวน อินทรยา ใช้ระบบน้ำแบบมินิสปริงเกอร์ เปิดวันละ 1 ชั่วโมงต่อต้น หรือดูตามความชื่น ถ้าเป็นฤดูฝน มีฝนตกก็ไม่ต้องเปิดน้ำ การใส่ปุ๋ยจะเริ่มใส่ครั้งแรกเมื่อกล้วยอายุได้ 1 เดือน ใช้ปุ๋ยเคมี สูตรเสมอ 15-15-15 หรือ 16-16-16 เดือนละครั้งๆละ1 ขีดหรือ 1 กำมือต่อต้น ติดต่อกันจนถึงเดือนที่ 8 ให้เปลี่ยนสูตรปุ๋ย เป็นสูตร 8-24-24 เดือนละ 1 ครั้งๆละ 1 ขีดหรือ 1 กำมือต่อต้น จนกว่าจะเก็บเกี่ยว กล้วยน้ำว้าปากช่อง50 จะออกปลีเมื่ออายุได้ 8-9 เดือน หรือให้นับใบที่ 35 จะเริ่มออกปลี หลังจากออกปลีและไว้หวีพอแล้ว ตัดปลีออก นับไปอีก 120 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้
การดูแลรักษาแปลงปลูก ควรจะมีการทำรุ่นหรือปราบวัชพืช เมื่อต้นกล้วยยังเล็ก จะใช้วิธีการดายหญ้า ตัดหญ้า หรือฉีดยา ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของสวน ควรจะมีการพูนโคนเมื่อกล้วยอายุได้ 8 เดือน ด้วยการถากหน้าดินรอบโคนต้น หรือสุมโคนด้วย การผสม แกลบดิบ-แกลบดำ-ขี้ไก่แกลบ อย่างละเท่าๆกัน อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ควรตัดแต่งใบ ที่หักเสียหาย ใบโคน ออกเป็นประจำ แต่ต้องเหลือใบให้กล้วยก่อนออกปลีไม่น้อยกว่า 8-10 ใบ เพื่อใช้ในการสังเคราะห์แสงและปรุงอาหารให้กับกล้วยมากที่สุด จะทำให้ปลีกล้วยสมบูรณ์ และผลที่มีคุณภาพ ตามมาอีกด้วย ต้องมีการฉีดยาป้องกัน หนอนมวนใบ แมลงและเพลี้ยต่างๆอย่างสม่ำเสมอ เดือนละ 1 ครั้ง ฉีดพ่นสารป้องกันกำจัดเชื้อรา+คาร์เบนดาซิม+แมนโคเซป เดือนละ 1 ครั้ง ฉีดพ่นฮอร์โมน+อาหารเสริม พร้อมกับสารกันเชื้อรา จะช่วยบำรุงและป้องกันโรคและแมลงศัตรูของกล้วยได้

คำแนะนำที่ไม่กล้วยๆ…

แม้ว่ากล้วยจะเป็นพืชที่ปลูกง่ายแต่ก็มีปัญหาและอุปสรรคอยู่บ้าง ซึ่งจะต้องเข้าใจและป้องกันให้ดี คุณกุลมีคำแนะนำ ว่า กล้วยน้ำว้าปากช่อง50 เป็นพืชที่ไม่ชอบอากาศหนาว ช่วงฤดูหนาวจะชะงักการเจริญเติบโต แต่มีวิธีแก้ไขด้วยการให้น้ำเยอะกว่าปกติ ฉีดพ่นแร่ธาตุ สังกะสี ที่อยู่ในรูปของคีเลต จะช่วยได้ ภาวะภัยแล้ง กล้วยจะไม่ชอบแล้งมากๆ แม่จะไม่ตายแต่ก็ไม่โต ชะงักการเจริญเติบโต วิธีแก้ให้น้ำเยอะๆ ลม ก็เป็นปัญหาจะทำให้ใบกล้วย แตก ฉีกขาด เสียหาย ทำให้การสังเคราะห์แสงและปรุงอาหารได้ไม่สมบูรณ์ โรคและแมลง ที่สำคัญ เช่น กล้วยตายพราย เป็นแล้วแก้ยาก ต้องหาพันธุ์ที่ปลอดโรค จากแหล่งที่เชื่อถือได้ แมลงที่สำคัญที่สุดคือหนอนกอ ซึ่งเกิดจากด้วงงวงช้าง และมีแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีคือขี้วัว โรค ที่สำคัญคือโรคใบเหลือง ซึ่งเกิดจากเชื้อรา และมากับลม การป้องกันสามารถทำได้โดยฉีดยาป้องกันเชื้อรา จะใช้ยาเคมี หรือชีวภาพกลุ่มไตรโคเดอร์มา ก็ได้ แต่ที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าโรคหรือแมลง ให้ป้องกันดีกว่ารักษาหรือแก้ อาจจะไม่ทันการณ์ ทำให้เกิดความเสียหายได้
สนใจการปลูกกล้วยน้ำว้า พันธุ์ปากช่อง 50 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณอิทธิกร จันทะน้อย โทร 08-7879-4179…รับรองว่าจะมีคำแนะนำดีๆแถมให้ด้วยครับ

(เรื่อง/ภาพ : มนตรี ตรีชารี นิตยสารเกษตรโฟกัส)

5 สัญญาณอันตราย ควรหยุดใส่ “คอนแทคเลนส์” ทันที




5 สัญญาณอันตราย ควรหยุดใส่ “คอนแทคเลนส์” ทันที

5 สัญญาณอันตราย ควรหยุดใส่ “คอนแทคเลนส์” ทันที

    คอนแทคเลนส์ในสมัยนี้เป็นมากกว่าอุปกรณ์ที่ช่วยให้การมองเห็นของคนสายตาสั้นดีขึ้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงผู้ที่รักการแต่งตัว รักแฟชั่น อยากมีดวงตาเป็นสีๆ เป็นประกายลวดลายสวยๆ หรือแม้แต่การแต่งตัวคอสเพลย์เป็นการ์ตูนตามแฟชั่นญี่ปุ่น
   แต่จะเป็นเรื่องหายนะทันทีถ้าผู้ที่สวมใส่คอนแทคเลนส์เลือกสวมใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่ได้มาตรฐาน และ/หรือใช้คอนแทคลนส์ไม่ถูกวิธี รวมไปถึงการรักาความสะอาดของคอนแทคเลนส์ที่ไม่เพียงพอ จนทำให้เกิดอาการผิดปกติ ถึงขั้นต้องผ่าตัด หรือสูญเสียการมองเห็นไปอย่างถาวรได้
 สัญญาณอันตราย ควรหยุดใส่ “คอนแทคเลนส์” ทันที
  1. ตาแห้งมากผิดปกติ
ในรายที่ใส่คอนแทคเลนส์แล้วมีอาการตาแห้ง อาจใช้น้ำตาเทียมหยอดเพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตาได้ แต่หากมีอาการตาแห้งมากผิดปกติ หรือน้ำตาเทียมก้เริ่มเอาไม่อยู่ ดวงตาอาจเริ่มมีอาการผิดปกติได้
  1. ตาแดง เคืองตา ขี้ตาเหนียว มีเศษโปรตีนเกาะที่ตา และคอนแทคเลนส์
อาการนี้เป็นสัญญาณของการอักเสบของกระจกตา และเยื่อบุตา ซึ่งนอกจากอาการดังกล่าวแล้ว ยังอาจทำให้เกิดภาพมัวได้เช่นกัน
  1. มีตุ่มอักเสบที่เปลือกตาด้านใน
นอกจากจะพบตุ่มอักเสบแล้ว ยังอาจพบอาการข้างเคียงอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ ตาแดง ระคายเคือง ตาไม่สู้แสง และอาจมีภาวะหนังตาตกร่วมด้วย
  1. เกิดจุดเล็กๆ ที่ตาดำ
   เป็นอาการจากเยื่อบุผิวกระจกตาอักเสบ ที่เกิดจากบาดแผล หรืออาการช้ำของเยื่อตาในขณะที่ตาแห้ง มีอาการแพ้ หรือขาดออกซิเจนจากการใส่คอนแทคเลนส์นานๆ หรือคอนแทคเลนส์ที่ได้มาตรฐาน ค่าอมน้ำต่ำ และ/หรือออกซิเจนถ่ายเทไม่สะดวก สิ่งที่อันตรายไปกว่าจุดเล็กๆ คือ หากมีแผลเป็นจุดเล็กๆ หลายจุดมารวมกัน อาจกลายเป็นแผลใหญ่ที่อาจติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก
  1. ตาแดง เคืองตา ตาสู้แสงไม่ได้ มีขี้ตามาก น้ำตาไหลตลอดเวลา และ/หรือมีหนองในช่องหน้าม่านตา
    เป็นอาการของกระจกตาติดเชื้อ ที่เมื่อตรวจกับจักษุแพทย์ อาจจะพบจุดขาวที่กระจกตา กระจกตาฝ้า กระจกตาบาง หรือบวมร่วมด้วย
    อาการนี้มักพบได้บ่อย และมาจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการดูแลรักษาความสะอาดเลนส์ของตัวผู้ใช้เอง จากคุณภาพของเลนส์ที่ไม่ได้มาตรฐาน น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ที่อาจไม่ได้มาตรฐาน คอนแทคเลนส์ หรือน้ำตาล้างคอนแทคเลนส์หมดอายุ หรือใส่คอนแทคเลนส์ข้ามคืน
contact-lens-2.jpg

วิธีเลือกคอนแทคเลนส์ให้ปลอดภัย
    ควรดูชื่อผลิตภัณฑ์ และวัสดุที่ใช้ทำคอนแทคเลนส์ เป็นซิลิโคนจะนิ่ม และใส่ง่าย ดูขนาดของเลนส์ที่ไม่ควรใหญ่เกินไป DIA หรือเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 14-15 mm. ความโค้งของเลนส์ หรือค่า BC. ควรจะเหมาะสมกับความโค้งของกระจกตาเรา ค่ามาตรฐานความโค้งของเลนส์ตามท้องตลาดอยู่ที่ 8.6 แต่ผู้ใช้ควรวัดความโค้งของกระจกตาตัวเองก่อนใส่ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาคอนแทคเลนส์ไม่พอดีตา จนอาจทำให้คอนแทคเลนส์หลุดง่าย หรืออาจบีบตาดำมากเกินไปจนระคายเคืองตา
นอกจากนี้ควรตรวจสอบวันเดือนปีที่หมดอายุ เลขที่ อย. และเลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ด้วย
 วิธีใช้คอนแทคเลนส์อย่างถูกต้อง
  1. พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพตาก่อนว่าสามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้หรือไม่ ควรเลือกคอนแทคเลนส์แบบใดถึงจะเหมาะสม
  2. ก่อนถอดคอนแทคเลนส์ ควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หรือน้ำยาล้างมือทุกครั้ง รวมถึงควรตัดเล็บให้สั้นก่อนถอด-ใส่คอนแทคเลนส์
  3. ควรถอดคอนแทคเลนส์ออกมาล้างทุกวัน ล้างด้วยน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์เท่านั้น
  4. วิธีล้างคอนแทคเลนส์ ถอดคอนแทคเลนส์วางไว้บนฝ่ามืออย่างนุ่มนวล เทน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ลงบนเลนส์ราว 5-10 หยด ใช้ปลายนิ้วถูเอาคราบลื่นๆ ที่เป็นคราบโปรตีนออกเบาๆ หยิบคอนแทคเลนส์ใส่ตลับคอนแทคเลนส์ที่ล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ เทน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ให้ท่วมเลนส์ และปิดฝาทุกครั้ง
  5. ควรเปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุกๆ 3 เดือน
  6. ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ขณะนอนหลับ และขณะว่ายน้ำ
  7. หากมีอาการผิดปกติเมื่อใช้คอนแทคเลนส์ ควรหยุดใช้ แล้วปรึกษาแพทย์ทันที
 ถึงแม้ว่าคอนแทคเลนส์จะเป็นนวัตกรรมที่ช่วยให้ผู้ที่มีสายตาผิดปกติสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายขึ้น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้คอนแทคเลนส์ได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นก่อนใช้คอนแทคเลนส์ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อรับการตรวจ และคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้นะคะ

5 อาหารต้านมะเร็งราคาถูก หาทานง่าย




5 อาหารต้านมะเร็งราคาถูก หาทานง่าย

5 อาหารต้านมะเร็งราคาถูก หาทานง่าย

อาหารต้านมะเร็ง ไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบของแคปซูล หรือธัญพืชจากเมืองนอกราคาแพงๆ เสมอไป เพราะพืชผักผลไม้ในบ้านเรานี่แหละ ที่เป็นยาชั้นดีที่จะช่วยป้องกันโรคได้สารพัด รวมไปถึงโรคที่ทุกคนกลัวอย่างโรคมะเร็งด้วย มีอาหารชนิดใดที่น่าสนใจบ้าง ไปดูกันค่ะ

tomatoes
  1. มะเขือเทศ
มะเขือเทศจัดเป็นผักชนิดหนึ่งที่มีสีอื่นนอกไปจากสีเขียว สีแดงขิงมะเขือเทศบ่งบอกว่า มะเขือเทศเป็นพืชที่มีคุณค่าทางสารอาหารแตกต่างไปจากผักสีเขียวตามปกติ นั่นก็คือ “ไลโคปีน” นั่นเอง ไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร  มะเร็งปอด เป็นต้น เพราะฉะนั้นถึงมีคำกล่าวว่า ผู้ชายให้ทานมะเขือเทศปรุงสุก (เพื่อป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก) และผู้หญิงให้ทานมะเขือเทศสด (เพื่อรับวิตามินซีมาบำรุงผิวพรรณ)
garlics
  1. กระเทียม
กระเทียมเป็นหนึ่งในกลุ่มของผักสีขาวที่มีสารบีตาแคโรทีน ช่วยกระตุ้นการทำงานของร่างกายให้ช่วยป้องกันมะเร็งได้ดีขึ้น งานวิจัยพบว่า การบริโภคกระเทียมช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งเต้านมได้
butterfly-pea
  1. ดอกอัญชัญ
ดอกอัญชัญจัดว่าเป็นพืชตระกูลสีม่วง ที่มีสารแอนโทไซยานิน ที่ช่วยป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง และเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวพณณ์ให้ชุ่มชื่นอีกด้วย
pineapple
  1. สับปะรด
สับปะรดนอกจากจะให้รสชาติหวานฉ่ำแซมเปรี้ยวที่เรียกความสดชื่นให้กับร่างกายได้ตั้งแต่ทันทีที่ทานแล้ว ยังเต็มไปด้วยวิตามินซี เบตาแคโรทีน และแมงกานีส ที่ช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง และยังช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย
brown-rice
  1. ข้าวกล้อง
ความดีงามของข้าวกล้องให้อธิบายยังไงก็ไม่หมดจริงๆ นอกจากจะเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง ที่ดีต่อร่างกายของเรา เหมาะสำหรับใครอยากลดน้ำหนัก หรืออยากหันมาทานคลีนแล้ว ยังมีวิตามินบีที่ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก มีเส้นใยอาหารที่ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย ป้องกันโลหิตจาง และยังลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย
เห็นไหมล่ะคะ ว่าอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง อยู่ใกล้ๆ ตัวเราทั้งนั้น แล้วยังหาซื้อทานได้ง่าย ราคาย่อมเยา ไม่มีความจำเป็นต้องไปซื้ออาหารเสริม หรือธัญพืชจากต่างประเทศก็ได้ แต่ถ้าใครสะดวกหาทานแบบไหน ก็เอาตามที่สบายใจจะดีกว่าค่ะ ถือว่าเพิ่มเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายเงินเยอะแล้วกันเนอะ สิ่งสำคัญคือทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ไม่ว่าโรคไหนก็ไม่เข้ามากร้ำกรายแล้วล่ะค่ะ

5 อาหารเพื่อสุขภาพ ทานมากไปกลับทำร้ายตัวเอง!



5 อาหารเพื่อสุขภาพ ทานมากไปกลับทำร้ายตัวเอง!

       สาวๆ หนุ่มๆ สายเฮลธ์ตี้ รักสุขภาพ คงสนุกกับการช้อปปิ้งอาหารคลีนอย่างมีความสุข อะไรที่เขาว่าดีก็จัดมาให้ครบอย่าให้ขาด จะได้สุขภาพดีอย่างที่หวัง แต่ที่ไหนได้ ซุปเปอร์ฟู้ดที่ว่าเทพ ทานมากๆ ก็ให้โทษกับร่างกายได้เหมือนกัน เพื่อนๆ แอบซื้ออะไรมาทานบ้างหรือเปล่า เช็คด่วน
เวย์ โปรตีน Whrey Protein
1. 
เวย์โปรตีน        อาหารเพื่อสุขภาพลำดับต้นๆ ที่ชาวฟิตเนสหลายคน โดยเฉพาะคุณผู้ชายต้องบริโภคอยู่ตลอด เพื่อต้องการสร้างกล้ามเนื้อให้เห็นชัดๆ แต่หากทานเวย็โปรตีนมากเกินไป หรือติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุน ตับและไตอาจทำงานหนักจนล้มเหลวได้

เมล็ดเจีย Chia Seed
2. 
เมล็ดเจีย       ใครที่กำลังรักษาหุ่นเพรียว มักวิ่งมาหาเมล็ดเจีย ลักษณะคล้ายเม็ดแมงลัก แต่สารอาหารมากกว่าหลายเท่า ให้ความอิ่มท้องแต่ให้พลังงานแคลอรี่ต่ำ แต่หากทานมากเกินไปอาจมีอาการท้องอืด และคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และลำไส้ เช่น มีแก๊สในกระเพาะอาหาร แสบร้อนกลางอก กรดไหลย้อน อาจทำให้ตับอ่อนยิ่งกระตุ้นการสร้างน้ำย่อยออกมามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังไม่เหมาะกับคนที่มีความดันต่ำ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ชายที่มีปัญหาต่อมลูกหมากอีกด้วย
ควินัว Quinua
3. 
ควินัว       อีกหนึ่งซุปเปอร์ฟู้ดที่คนรักสุขภาพต้องรู้จัก ควินัวทานได้เหมือนข้าว หรือจะโรยบนสลัด ทำอาหารทานแทนคาร์โบไฮเดรตอื่นๆ ก็ยิ่งดี สารอาหารดีๆ เพียบ แต่อย่าลืมควินัวเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง เห็นเม็ดเล็กๆ แบบนี้ ควินัว 1 ถ้วยให้พลังงาน 110 กิโลแคลอรี่ เพราะฉะนั้นจะหุงเป็นหม้อๆ ทานมื้อละ 2-3 ทัพพีก็อาจได้รับพลังงานมากจนเกินไปนั่นเอง
เมล็ดแฟล็กซ์ Flaxseed
4. 
เมล็ดแฟลกซ์       เมล็ดแฟลกซ์ หรือแฟล็กซ์ซีดมีฤทธิ์ลดการจับตัวกันของเลือด เพราะฉะนั้นใครที่กำลังทานยาที่ช่วยลดการจับตัวของเลือดอยู่ อาจจะต้องงดแฟล็กซ์ซีดไปก่อน นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์ และคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ อาจจะไม่เหมาะกับการทานแฟล็กซ์ซีดเท่าใดนัก
อโวคาโด Avocado
5. อโวคาโด้       ใครมีเงินขึ้นมาอีกหน่อย อาจจะติดอกติดใจเจ้าผลเขียวๆ นี้ ด้วยรสชาติมันๆ ที่ฝรั่งสายเฮลธ์ตี้มักนำมาทาขนมปังทานแทนเนย คนไทยบางคนชอบเอาไปปั่นสมูธตี้แทนผลไม้รสหวานอื่นๆ แต่หากทานอโวคาโด้มากๆ ก็อ้วนได้นะ เพราะเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานสูงใช้ได้ 1 ลูก ให้พลังงาน 300 กว่ากิโลแคลอรี่เลยเชียว
       อย่างที่หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้าง ว่าทุกอย่างต้องเดินทางสายกลาง ทานอาหารที่มีประโยชน์ได้ แต่ต้องทานแต่พอดี และเลือกทานให้หลากหลายเข้าไว้ จะได้ไม่ทานอะไรๆ ซ้ำเดิม จนของมีประโยชน์กลับกลายเป็นให้โทษต่อร่างกายไปเสียอย่างนั้น น่าเสียดายแทนนะคะ

10 สัญญาณอันตราย เช็กซิคุณออกกำลังกายหนักมากเกินไปหรือเปล่า



ออกกำลังกาย

          ออกกำลังกายหักโหมมากเกินไป อาจทำสุขภาพร่างกายพัง เช็กตัวเองด้วย 10 สัญญาณเหล่านี้ หากมีกับตัวเมื่อไร ต้องรีบหยุดพักเรื่องออกกำลังกาย

          จริงอยู่ที่การออกกำลังกายนั้นดีกับสุขภาพ แต่ในอีกมุมหนึ่งการออกกำลังกายก็มีข้อเสียหากหักโหมร่างกายมากเกินไป ซึ่งผลที่ตามมาจากการออกกำลังกายหนักจนเกินไปนั้นก็มีตั้งแต่อาการบาดเจ็บ ปัญหาสุขภาพจิต ไม่เว้นแม้แต่ความเสี่ยงโรคร้ายแรงอย่างโรคหัวใจ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า การออกกำลังกายที่ทำอยู่นั้นหนักและมากเกินความพอดี นี่คือ 10 สัญญาณสุขภาพที่จะบ่งบอกว่าคุณออกกำลังกายมากเกินไปหรือไม่ ถ้ามีอาการเหล่านี้มาทักทาย รีบเปลี่ยนตารางออกกำลังกายใหม่เดี๋ยวนี้เลย
ออกกำลังกาย

1. ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงและเฉียบพลัน


          อาการปวดกล้ามเนื้อแบบเฉียบพลัน นับเป็นสัญญาณอันดับแรกที่มักเกิดขึ้นกับคนที่ออกกำลังกายอย่างหนัก และจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นจนกลายเป็นอาการกล้ามเนื้อหรือข้อต่ออักเสบ อันจะส่งผลเสียต่อกล้ามเนื้อในระยะยาว ดังนั้นถ้าคุณเกิดอาการปวดอย่างรุนแรงแบบกะทันหันละก็ หยุดออกกำลังกายสักพักจนกว่าจะหายดีเถอะค่ะ จะได้ไม่ต้องมานั่งรักษาอาการกล้ามเนื้ออักเสบกันทีหลัง

2 ประจำเดือนผิดปกติ

          คุณสาว ๆ ที่ออกกำลังกายหนักเป็นประจำต้องระวังให้ดีเลย เพราะการออกกำลังกายหักโหมเกินไปอาจเร่งการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนความเครียด ซึ่งอาจกระทบกับการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ และเมื่อฮอร์โมนดังกล่าวลดลง ประจำเดือนก็จะเริ่มขาดหรือเลื่อน ไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ด้วย ยิ่งถ้าคุณสาว ๆ ทั้งออกกำลังกายอย่างหนัก และควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัดด้วยละก็ จะยิ่งทำให้ประจำเดือนผิดปกติมากขึ้น ทางที่ดีออกกำลังกายและรับประทานอาหารอย่างพอดีกันดีกว่าค่ะ

ออกกำลังกาย

3. เท้าและเข่าบวมแดง


          สำหรับคนที่ชอบวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำ อาการบวมแดงที่บริเวณข้อเท้าหรือเข่าถือเป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าคุณหักโหมกับการวิ่งมากเกินไป และถ้าหากคุณมองข้ามไปก็เท่ากับว่าคุณเพิ่มความเสี่ยงภาวะกล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบอย่างรุนแรง ซึ่งอาจจะทำให้คุณถึงขั้นเดินไม่ได้เลยทีเดียว รู้แบบนี้แล้ว หมั่นสังเกตอาการบวมแดงกันสักหน่อยนะคะ 

ออกกำลังกาย

4. ภูมิคุ้มกันผิดปกติ


          ขอบอกเลยค่ะว่าการออกกำลังกายอย่างหนักไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงมากขึ้น ในทางกลับกัน การออกกำลังกายที่มากเกินขีดจำกัดของร่างกายสามารถทำร้ายระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำลง และส่งผลให้เกิดอาการอักเสบ การเจ็บป่วยขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยงโรคร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ หรือแม้แต่โรคมะเร็ง ฉะนั้นอย่ามัวแต่นึกถึงความฟิต&เฟิร์มของตัวเองเลยจะดีกว่า ออกกำลังกายแค่พอเหมาะแต่ทำอย่างสม่ำเสมอ แบบนี้ได้ผลดีกว่าค่ะ

5. กล้ามเนื้อกระตุก

          กล้ามเนื้อกระตุก เป็นสัญญาณสุขภาพที่ไม่ดีอย่างรุนแรง เพราะนั่นแปลว่าคุณกำลังเข้าสู่ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนล้า ซึ่งถ้าหากคุณยังคงออกกำลังกายอย่างหนักต่อไป จะทำให้คุณเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้ออักเสบหรือฉีกขาดได้ ฉะนั้นสัญญาณเล็ก ๆ นี้อย่ามองข้ามเลยนะคะ เพื่อความปลอดภัย

6. น้ำหนักลดมากผิดปกติ

          หลายคนใช้การออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักส่วนเกิน แต่การที่น้ำหนักลดลงมาก ๆ อย่างรวดเร็วหลังจากการออกกำลังกายหนัก ๆ บอกเลยว่านั่นไม่ได้แปลว่าคุณประสบความสำเร็จในการออกกำลังกายนะ แต่เป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณออกกำลังกายมากเกินไปต่างหาก และถึงแม้ว่าจะผอมลง แต่สุขภาพก็จะแย่ลงด้วยเช่นกัน ดังนั้นควรออกกำลังกายแต่พอดี และหยุดพักบ้างตามความเหมาะสม แม้ว่าจะผอมช้ากว่าแต่ก็ดีในระยะยาวค่ะ
ออกกำลังกาย

7. ความดันโลหิตสูง


          การออกกำลังกายที่หนักมากเกินไปจะเร่งการสูบฉีดของเลือดให้มากขึ้นและทำให้ความดันโลหิตในขณะที่ออกกำลังกายสูงขึ้น เป็นการเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด แต่หากคุณเลิกออกกำลังกายแล้วยังมีภาวะความดันโลหิตสูงอยู่ ทั้ง ๆ ที่คุณไม่มีความเสี่ยงโรคนี้ละก็ บอกได้เลยว่านั่นเป็นสัญญาณอันตรายที่คุณควรหยุดออกกำลังกายสักพัก ไม่อย่างนั้นส่งผลระยะยาวถึงสุขภาพหัวใจแน่นอน

8. เกิดภาวะหิดปลาทู (Hit The Plateau)

          หิดปลาทู เป็นชื่อเรียกกันแบบไทย ๆ ของภาวะ Hit The Plateau ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่ว่าจะออกกำลังกายหนักแค่ไหนร่างกายก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง เนื่องจากร่างกายเคยชินกับการออกกำลังกายหนัก ๆ เป็นเวลานาน โดยบางคนอาจจะเรียกภาวะนี้ว่าเป็นภาวะระบบเผาผลาญพัง 

          โดยอาการที่สังเกตได้ชัดเจนก็คือ แม้ว่าคุณจะออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร หรือดูแลสุขภาพอย่างเคร่งครัดแค่ไหน น้ำหนักก็ไม่ลดลง แต่จะให้เพิ่มการออกกำลังกายให้หนักหรือจะลดการกินก็ทำไม่ไหว วิธีแก้ก็คือควรหยุดออกกำลังกายไปสักประมาณ 1 สัปดาห์ และปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารให้เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่งั้นสุขภาพพังระยะยาวแน่นอนค่ะ

ออกกำลังกาย

9. ไม่มีเรี่ยวแรง

          โดยปกติแล้วการออกกำลังกายจะช่วยให้เรามีเรี่ยวแรงมากขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะไปกระตุ้นการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย และเร่งระบบเผาผลาญในร่างกาย แต่ถ้าหากคุณออกกำลังกายเสร็จแล้วรู้สึกหมดแรงไปตลอดทั้งวัน รู้ไว้เลยค่ะว่านั่นคือสัญญาณที่บอกว่าคุณออกกำลังกายมากเกินไป จนทำให้ร่างกายอ่อนล้าสะสม ทางที่ดีคือหยุดออกกำลังกายไปสัก 1-2 วันเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว และควรจะปรับการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับความสามารถของร่างกายค่ะ

10. อารมณ์แปรปรวน 


          แม้การออกกำลังกายจะช่วยให้คลายเครียดและทำให้อารมณ์ดีขึ้นก็จริง แต่การออกกำลังกายมากจนเกินไปก็ทำให้อารมณ์แปรปรวนได้ เพราะเมื่อคุณออกกำลังกายอย่างหนักก็จะเกิดความตึงเครียดสะสมภายในกล้ามเนื้อ เมื่อสะสมมาก ๆ ก็จะทำให้คุณเกิดความเครียดจนหงุดหงิดได้ ถ้าไม่อยากให้สุขภาพจิตเสีย ออกกำลังกายแต่พอดีกันดีกว่านะคะ

          ได้ทราบกันแบบนี้แล้วก็อย่าเข้าใจผิดว่าการออกกำลังกายนั้นไม่ดีกับสุขภาพไปเสียก่อนล่ะ เพราะถ้าหากเราออกกำลังกายกันแบบพอดี ๆ ผลที่ได้ก็จะมีประสิทธิภาพในระยะยาว แถมถ้าทำควบคู่กับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับที่เพียงพอด้วย สุขภาพก็จะดีไปกว่าเดิมแน่นอนเลย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
prevention
mnn
12minuteathlete